กฎหมายชี้ชัด ประเภทธุรกิจใดบ้าง ที่ผู้จำหน่ายต้องรับผิดชอบ หากสินค้าพังภายใน 2 ปี
ในปี 2565 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ซึ่งมีผลบังคับใช้กับผู้ประกอบธุรกิจที่ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าบางประเภท โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่ตามกฎหมายในการรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าภายในระยะเวลา 2 ปีนับจากวันส่งมอบ ไม่ว่าผู้ประกอบการจะรู้ถึงความชำรุดบกพร่องนั้นหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหากเกิดกรณีสินค้าชำรุดภายในระยะเวลา 1 ปีแรก จะถือว่าสินค้านั้นมีความชำรุดบกพร่องตั้งแต่เวลาส่งมอบ
ประเภทธุรกิจที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ ได้แก่
- ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี เป็นต้น
- ธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่าย สมาร์ทวอทช์ เป็นต้น
- ธุรกิจยานยนต์ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล รวมถึงอะไหล่และชิ้นส่วนยานยนต์ที่จำหน่ายแยกต่างหาก
- ธุรกิจประเภทอื่น ๆ ที่อาจมีการกำหนดเพิ่มเติมในอนาคตผ่านพระราชกฤษฎีกา
ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ ผู้บริโภคที่พบความชำรุดบกพร่องของสินค้าภายใน 2 ปี สามารถเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการดังต่อไปนี้
- ซ่อมแซมสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ
- เปลี่ยนสินค้าชิ้นใหม่ให้ โดยสินค้าที่เปลี่ยนต้องมีคุณภาพและประสิทธิภาพเช่นเดียวกับสินค้าเดิม
- ลดราคาสินค้าตามสมควร เมื่อคำนึงถึงความชำรุดบกพร่องและราคาที่ซื้อขายกัน
- เลิกสัญญาและคืนเงินที่ซื้อสินค้านั้นตามราคาที่ซื้อขาย
ทั้งนี้ กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องรับผิดในบางกรณี เช่น หากลูกค้าได้รู้ถึงความชำรุดบกพร่องของสินค้าแล้วในเวลาซื้อขาย หากลูกค้าใช้หรือเก็บรักษาสินค้าไม่ถูกต้องตามวิธีการที่ผู้ประกอบธุรกิจกำหนดไว้ในคู่มืออย่างชัดแจ้ง หรือหากลูกค้ามีการดัดแปลงหรือซ่อมแซมสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ประกอบธุรกิจ เป็นต้น
พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบันที่มีสินค้าเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งมีกลไกและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้บริโภคอาจไม่สามารถตรวจพบความชำรุดบกพร่องได้ในเวลาซื้อขาย กฎหมายนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคให้สมดุลมากขึ้น และยังสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพดีด้วย
อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ยังมีข้อยกเว้นสำหรับสินค้ามือสอง สินค้าที่ขายตามสภาพ สินค้าประมูล และสัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นก่อนวันที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบ และพิจารณาเงื่อนไขการรับประกันให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าเสมอ
นอกจากการปฏิบัติตามกฎหมายขั้นต่ำแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจยังสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความพึงพอใจของลูกค้า ผ่านการนำเสนอนโยบายการรับประกันและการบริการหลังการขายที่เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น การขยายระยะเวลารับประกัน การเพิ่มความคุ้มครองนอกเหนือจากเงื่อนไขมาตรฐาน หรือการให้บริการเสริมพิเศษ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างให้แก่แบรนด์ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว
หากธุรกิจของคุณเป็นหนึ่งในประเภทที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ การทำความเข้าใจสาระสำคัญของกฎหมาย การทบทวนนโยบายการรับประกันที่มีอยู่ และการพัฒนากระบวนการจัดการเคลมและการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณพร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมาย และรักษาความพึงพอใจของลูกค้าไปพร้อมกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของการรับประกันสินค้าและวิธีการเลือกแผนการรับประกันที่เหมาะกับสินค้าแต่ละประเภท สามารถอ่านต่อได้ที่บทความ “ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และลูกค้า ด้วยกลยุทธ์การรับประกันสินค้าที่ใช่“
บทความที่เกี่ยวข้อง
สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ
- ปิดความเห็น บน สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ
ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และลูกค้าด้วยกลยุทธ์การรับประกันสินค้าที่ใช่
- ปิดความเห็น บน ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และลูกค้าด้วยกลยุทธ์การรับประกันสินค้าที่ใช่
สินค้ายอดฮิตติดบ้าน ที่ควรมีบริการรับประกันสินค้า
- ปิดความเห็น บน สินค้ายอดฮิตติดบ้าน ที่ควรมีบริการรับประกันสินค้า